สาระธรรม
พระเราต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่
รายละเอียด
พวกเราในเมื่อเป็นพระเป็นเณร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ในเมื่อเราเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ สิ่งไหนที่ผิดพลาด ต้องกล้าทักท้วง กล้าพูด ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าสังฆกรรมเสีย ก็เท่ากับทำไปแล้วเหนื่อยเปล่า เพียงแต่ว่าการพูด การทักท้วงนั้น ต้องดูตัวเองด้วยว่าเราอยู่ในระดับไหน ?
กระผม/อาตมภาพ สมัยยังบวชอยู่ที่วัดท่าซุงอยู่ อาศัยที่ว่าศึกษาตำรามามาก พอเห็นอะไรดูท่าว่าจะไม่เข้าท่า ก็ทักท้วง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครฟัง ไปเที่ยวไล่ถามคนอื่นจนรอบประเทศไทยแล้ว ผลก็ออกมาอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกไป ก็เลยกลายเป็นว่า บางท่านก็ไม่ชอบขี้หน้า เพราะว่าไปทักเขา ทำให้เขาขายหน้า เนื่องจากว่าทำในสิ่งที่มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกต้องได้..!
แต่ว่าถ้าหากว่าท่านรักตัวเอง ไม่กล้าทักท้วง กลัวโดนลงโทษ กลัวเขาไม่ชอบขี้หน้า ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราก็ต้องปล่อยให้พระธรรมวินัยเสื่อมทรามลงไปทุกวัน ซึ่งการที่เราบรรพชาอุปสมบทมา ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเพื่อสืบทอดอายุพระศาสนา ถ้าเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าทักท้วง ก็กลายเป็นว่า เรามองพระพุทธศาสนาค่อย ๆ พังลงไป โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย..!
แม้แต่วันนี้ในกลุ่มไลน์เจ้าคณะอำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ลงภาพการเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคลในการเปิดงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว ปรากฏว่าในรูปเป็นโหล มีแต่ภาพเจ้าใหญ่นายโตในจังหวัดทั้งนั้น มีภาพเดียวที่ติดพระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์ ซึ่งก็โดนโต๊ะหมู่บูชาบังเสียหมด ได้เห็นหน้าของรูปสุดท้ายแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น..!
กระผม/อาตมภาพจึงได้ท้วงไปในกลุ่มไลน์ว่า "โปรดให้เกียรติพระด้วย นิมนต์ไปเสียเยอะแยะแต่ไม่ได้เห็นหน้าเลย แล้วนิมนต์ไปทำอะไร ?" แต่ว่าทางสำนักพุทธฯ ของเรารู้ตัวเร็วดีมาก จัดการเปลี่ยนแปลงกระดานข่าวทันทีทันใด แล้วยกภาพพระทั้ง ๙ รูปขึ้นไว้บนสุดด้วย แสดงว่ารู้ตัวว่าทำในสิ่งที่ไม่สมควร แล้วรีบแก้ไขทันที
แต่อย่าลืมว่านั่นคือกลุ่มไลน์เจ้าคณะอำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี แล้วยังต้องให้กระผม/อาตมภาพไปท้วงก่อน ถึงจะมีการแก้ไข บุคคลที่เหลือคิดไม่ถึง หรือว่าไม่เห็น หรือไม่กล้าทักท้วงก็ไม่ทราบ แต่ถ้าปล่อยไปนาน ๆ ในลักษณะอย่างนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาก็จะไม่เป็นสำนักงานพระพุทธศาสนา
เพราะว่าการตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมา แล้วก็มีลูกก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ก็เพื่อช่วยสนองงานคณะสงฆ์ให้เกิดความคล่องตัวให้มากที่สุด แต่ว่ามาถึงปัจจุบัน บางทีก็มีการเข้าใจผิด หรือหลงประเด็นกันไปบ้าง
อย่างเช่นว่าออกหนังสือคำสั่งให้พระทำอย่างโน้น ให้พระทำแบบนี้ คือถ้าต้องการให้พระทำแบบไหน เพื่อให้พระพุทธศาสนาของเราเจริญขึ้น ให้ทำในลักษณะถวายการแนะนำ ในฐานะโยมซึ่งคอยอุปถัมภ์อุปัฏฐาก คอยเป็นพี่เลี้ยง ไม่ใช่ออกเป็นคำสั่ง แล้วเรื่องพวกนี้ก็เชื่อเถอะ ไม่มีใครทักท้วงหรอก อย่างดีก็มาบ่นกันลับหลัง ซึ่งไอ้การบ่นลับหลัง บ่นไปทำไม ? คนฟังก็รำคาญอีกด้วย..!
ดังนั้น..การที่พวกเราบวชเข้ามา จึงเป็นภาระเป็นหน้าที่เลยว่า พวกเราจะต้องช่วยกันค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเรา ให้อยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่ดีไม่งาม ถ้าพบถ้าเห็น ต้องกล้าทักท้วง สิ่งใดที่ดีกว่าต้องกล้าบอก กล้าชี้แจง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านที่ดีขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วคำว่า "ธรรมเสนา" คือ "ทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า" ก็ไร้ความหมาย เพราะว่าไม่กล้ารบ ไม่กล้าสู้ แล้วพระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ได้อย่างไร ?
อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกล่าวพวกท่านทั้งหลายไปแล้วว่า การไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น กระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นประโยชน์ในด้านถ่ายทอดความรู้ เพราะว่าความรู้นั้น ครูบาอาจารย์ท่านไหนก็สอนได้ แล้วถ้าหากว่าเป็นกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ต้องสอน อ่านตำราเองก็รู้เรื่อง
แต่ว่าในส่วนของจริยะ ก็คือแบบอย่างความประพฤติเป็นสิ่งที่จำเป็น อันดับแรกเลย ครูบาอาจารย์ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกศิษย์ได้ ในสมัยที่เป็นนิสิตศึกษาอยู่ กระผม/อาตมภาพก็เป็นตัวอย่างให้กับเพื่อนฝูงด้วย จากที่ไม่เอาศีลไม่เอาธรรมเลย หลายต่อหลายท่านก็กลับมา ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเป็นพระภิกษุที่ดีในพระพุทธศาสนา บางท่านก็ปรารภว่า "ผมเปลี่ยนแปลงได้เพราะดูพี่เล็กเป็นตัวอย่าง"
การไปสอนหนังสือของกระผม/อาตมภาพนั้น หวังแค่ตอนปิดคอร์ส คือจบเทอมเท่านั้น ก็คือชั่วโมงสุดท้าย ก่อนที่จะส่งท้ายก็จะบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรที่เข้าเรียนทุกท่านว่า "การเรียนของเรานั้นเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ถ้าเราเอาไปใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ถ้าเราเอาความรู้นั้นไปพลิกแพลง เพื่อที่จะหาประโยชน์บ้าง เพื่อที่จะทำความชั่วไม่ให้คนอื่นเขารู้บ้าง ถ้าลักษณะแบบนั้น ก็กลายเป็น "เหี้ยติดปีก..!" ก็คือทำความชั่วได้เนียนขึ้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้ กระผม/อาตมภาพขอแค่ว่า อย่าทำให้พุทธศาสนานี้พังลงไปด้วยมือของพวกคุณเลย..!
ดังนั้น..สิ่งทั้งหลายที่ได้พูดไปก็คือว่า ในเรื่องของการเรียนการสอน สอนตามตำรา สอนตามหลักวิชาการ ไม่ว่าท่านจะเก่งขนาดไหนก็ตาม ส่วนที่ควรจะสอนอย่างที่สุด คือทำอย่างไรให้พระภิกษุสามเณรของเรามีจิตสำนึกในการรักพระพุทธศาสนา มีจิตสำนึกในการที่จะช่วยเหลือ ป้องกัน ค้ำจุน พระพุทธศาสนาของเราให้อยู่ยั้งยืนยง ไม่ทำให้พังลงไปด้วยตัวของเราเอง
เหตุการณ์ในวันนี้ บางทีบางท่านก็ได้รับการบอกเล่าไปแล้ว บางท่านก็ยังไม่ได้ฟัง ก็ขอให้รู้ไว้ว่า พระเณรของเราต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาใจชาวบ้าน หรือเอาตามกฎหมายทางโลก
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖
https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9905
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com
ผู้แต่ง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โดย : วัดท่าขนุน
ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
จำนวนเข้าดู : 67
ปรับปรุงล่าสุด : 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566 20:33:51
ข้อมูลเมื่อ : 8 ธันวาคม พ.ศ. 2566 20:33:51
สาระธรรม 10 อันดับ
การจะไปพระนิพพานได้อยู่ที่ใจของเรา ปลดวางภาระทั้งปวงได้หรือไม่
โดย วัดท่าขนุน
ข้อมูลเมื่อ : 05-05-2567
เปิดดู : 9
นักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
โดย วัดท่าขนุน
ข้อมูลเมื่อ : 30-04-2567
เปิดดู : 22
สงกรานต์ มีความหมายว่า เคลื่อน ย้าย หรือ เปลี่ยน
โดย วัดท่าขนุน
ข้อมูลเมื่อ : 29-04-2567
เปิดดู : 13
เรื่องของพระ เรื่องของเทวดา ท่านไม่ได้ให้โทษต่อใคร
โดย วัดท่าขนุน
ข้อมูลเมื่อ : 28-04-2567
เปิดดู : 21