เข้าสู่ระบบสมาชิก
สถิติสารสนเทศ
วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรมหาวิหาร
1 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี วรวิหาร
2 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี สามัญ
9 วัด
วัดราษฎร์
1455 วัด
สำนักสงฆ์
83 วัด
ที่พักสงฆ์
72 วัด
วัดร้าง
2 วัด
วัดทั้งหมด
1624 วัด
 
ศาสนบุคคลไทย
พระภิกษุ
8345 รูป
สามเณร
302 รูป
แม่ชี
89 รูป
ศิษย์วัด
33 คน
บุคคลทั่วไปชาย
39 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
52 คน
ทั้งหมด
8860 รูป/คน
 
ศาสนบุคคลต่างชาติ
พระภิกษุ
40 รูป
สามเณร
25 รูป
แม่ชี
1 รูป
ศิษย์วัด
3 คน
บุคคลทั่วไปชาย
0 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
0 คน
ทั้งหมด
69 รูป/คน
 
สถิติสถานภาพพระภิกษุปัจจุบัน
พระบวชใหม่
7194 รูป
ลาสิกขา
34 รูป
มรณภาพ
10 รูป
 

สาระธรรม

ปีเก่าปีใหม่เป็นเพียงสมมติทางโลก

รายละเอียด

สำหรับในเรื่องของปีเก่าปีใหม่นั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงสมมติทางโลก วันเวลาก็ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามปกติ แต่เมื่อเราไปสมมติกันขึ้นมา ก็ต้องยึดถือตามนั้น เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นสัจจะ คือความจริงในระดับหนึ่ง เรียกว่าสมมติสัจจะ ขณะเดียวกันความจริงแท้ อย่างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พวกเราเรียกว่าปรมัตถสัจจะ ก็คือเป็นความจริงอย่างยิ่ง เป็นความจริงอย่างที่สุด ไม่มีใครสามารถยกเหตุผลหรือทฤษฎีใด ๆ มาหักล้างได้

อย่างเช่น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสิ่งไม่เที่ยง เราก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ทุกอย่างมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรที่พ้นไปจากสภาพความไม่เที่ยงนี้ไปได้เลย

พระองค์ตรัสว่า สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ เราก็จะเห็นว่า ตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทุกอย่างก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ คือสิ่งที่ต้องทนรับเป็นปกติ แม้กระทั่งก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือน ก็มีความทุกข์เป็นปกติ ก็คือต้องทนต่อการเสื่อมสลายตามสภาพไปอยู่ทุกวัน

องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาให้ยึดมั่นถือมั่นได้ แม้แต่ร่างกายนี้ ที่เรายึดว่าเป็นตัวเราเป็นของเราก็ตาม ถ้าพิจารณาดูดี ๆ จะเห็นว่าประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ เท่านั้น

ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ก็คือธาตุดิน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก เส้นเอ็น อวัยวะภายในใหญ่น้อย เช่น ตับ ปอด ม้าม หัวใจ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

ในส่วนที่ชุ่มชื้น เอิบอาบ เคร่งตึง อยู่ในร่างกายของเรา ก็คือ ธาตุน้ำ ประกอบไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เป็นต้น

ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย หรือค้างอยู่ตามช่องว่างของร่างกาย เช่น ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในช่องหู ช่องจมูก ลมที่ค้างในท้อง ในไส้ ในกระเพาะอาหาร ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลมเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่ภาษาหมอเรียกว่าความดันโลหิต คือ ธาตุลม

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายก็ดี กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตก็ดี เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลงก็ดี ช่วยในการสันดาปเผาย่อยอาหารที่กินเข้าไปก็ตาม ตลอดจนกระทั่งทำให้ร่างกายนี้กระวนกระวายยามเจ็บไข้ได้ป่วย เรียกว่าธาตุไฟ

เมื่อแยกออกมา กองนี้คือดิน กองนี้คือน้ำ กองนี้คือลม กองนี้คือไฟ ความเป็นตัวตนจะไม่มีอะไรเหลือเลย แม้กระทั่งตึกรามบ้านช่องใหญ่ ๆ ทั้งหลัง ถ้าเราแยกออกมา ก็จะเห็นว่านี่คืออิฐ นี่คือปูน นี่คือทราย นี่คือหิน นี่คือเหล็กเส้น เป็นต้น ดังนั้น..สิ่งที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ จึงเป็นปรมัตถสัจจะ เป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครถกเถียงได้

แม้แต่บรรดาทฤษฎีต่าง ๆ ที่ชาวตะวันตกส่วนใหญ่บัญญัติขึ้นมา ถ้าหากว่ามีคนยกทฤษฎีที่มีเหตุผลมากกว่าขึ้นมาหักล้าง ของเก่าก็จะตกไป ใช้ของใหม่แทน แต่ว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเรานั้น ไม่ใช่ทฤษฎี ถ้าจะจัดอยู่ในประเภททฤษฎี ก็ไม่ใช่ Theory หากแต่เป็น Theorem คือทฤษฎีสัมบูรณ์ ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้เลย

ดังนั้น..ในเรื่องของปีเก่าก็ดี ปีใหม่ก็ตาม จึงเป็นเพียงสมมติทางโลกเท่านั้น ถ้าหากว่าเราไม่ให้ความสำคัญ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา แต่ว่าในปัจจุบันนี้ เรื่องของการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นั้น ผูกพันด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาล

อย่างเช่นว่าวันนี้ เวลานี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ ๒๙ ล้านคน แออัดยัดเยียดอยู่ในประเทศไทย อุโบสถวัดพระแก้วมีญาติโยมเข้าไปกราบขอพรต่อองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือว่าพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของเรา แน่นจนกระทั่งคนเป็นลมล้มทั้งยืนก็มี แม้กระทั่งอำเภอทองผาภูมิ ที่พักทุกแห่งก็เต็มหมด จนกระทั่งถ้าหากว่าใครไม่มีที่พัก ก็ต้องมาอาศัยวัดนอนเท่านั้น..!

ในเมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ที่อาศัย ร้านอาหาร ตลอดจนกระทั่งบริการต่าง ๆ อย่างเช่นว่ารถสาธารณะ หรือว่าบรรดามัคคุเทศก์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถทำเงินจากเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จึงทำให้บุคคลทั่วไป ซึ่งปกติแล้วปัญญาไม่ถึง มองไม่เห็นแจ้งแทงตลอดถึงความเป็นสมมติเท่านั้น ยิ่งไปยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าสมมติเหล่านั้นก่อให้เกิดประโยชน์ในทางโลก ๆ แก่ตนเอง

เมื่อประโยชน์ทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้น เราก็นำไปจับจ่ายใช้สอย สรรหาสิ่งต่าง ๆ มาบำรุงบำเรอความสุขของตนเองและคนที่ตนรัก ก็ยิ่งไปยึดมั่นถือมั่นหนักเข้าไปอีก โดยเฉพาะสิ่งที่เรายกให้เป็นพระเจ้ารุ่นใหม่ ก็คือเงินตรา ถึงขนาดมีคำพูดว่า "ถ้าเงินเข้าทางประตู ศีลธรรมก็บินออกทางหน้าต่าง..!"

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เกิดจากสภาพสังคมในปัจจุบันของเรา ที่เรามักจะเชื่อว่าคนรวยทำอะไรก็ไม่ผิด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเงิน ซึ่งเป็นสมมติวัตถุอย่างหนึ่งนั้น มีอำนาจเหนือกว่าจิตใจของบุคคลเป็นจำนวนมาก แทนที่จะเห็นชัดถึงสมมติว่า เป็นสิ่งที่คนกำหนดขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ เราก็ไปยึดมั่นถือมั่นจนแทบจะยกให้เป็นพระเจ้า หรือว่าแก้วสารพัดนึกไปแล้ว
เรื่องพวกนี้บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อมองเห็นก็จะกลายเป็นบุคคลที่แปลกแยกจากสังคม เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่เขาไหลตามกระแสไป โดยปกติแล้วถ้าเราเป็นผู้มีสติ บรรดาสมมติต่าง ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะเงินทองก็จะเป็นเครื่องมือหนุนเสริมให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น

แต่ถ้าหากว่าเราขาดสติ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเป็นตัวกำหนด แบ่งแยกชนชั้น จน รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเรานั้นเจริญงอกงามขึ้นมา มีการดูถูกดูแคลนผู้อื่น ซึ่งฐานะไม่เท่าเทียมกับตน แบกเอาตัวกูของกูหนักขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าไม่ตามใจกู ก็แปลว่าโกรธกัน จึงกลายเป็นว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีแต่เจริญงอกงามไปตามสมมติเหล่านั้น

บรรดาท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดท่าขนุนก็ดี พระภิกษุ แม่ชี และบุคคลในวัดก็ตาม จึงควรที่จะมีสติ ระลึกรู้อยู่เสมอว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงสมมติทางโลก ถ้าเราไม่ยินดียินร้ายด้วย ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความหวั่นไหวให้เกิดกับเราได้ แต่ถ้าหากว่าเรายินดียินร้ายเมื่อไร ก็ให้สังเกตกำลังใจของตนเองดู เมื่อได้มา จิตใจก็ฟู เมื่อเสียไป จิตใจก็ฟุบแฟบ ทำให้เรามีแต่ความทุกข์ เพราะว่าสภาพจิตไม่มั่นคง มักขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เสมอ

เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะรักษาศีล เจริญสมาธิ และกำหนดการภาวนา จนกระทั่งกำลังใจเข้มแข็งเพียงพอ ที่จะต่อต้านอำนาจกระแสกิเลส มีปัญญาที่จะมองเห็นชัดถึงสมมติทั้งหลายเหล่านี้ ที่แค่อำนวยความสะดวกให้แก่เราเท่านั้น ถึงเวลามีมากเท่าไร ก็ต้องล้มหายตายจากกันไปอยู่ดี

ส่งท้ายปีเก่าวันนี้ จึงได้แต่หวังว่าท่านทั้งหลายจะสามารถสร้างคุณงามความดีในใจของตนเองได้ จนกระทั่งไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมต่าง ๆ จึงจะสมกับที่เรามุ่งหน้าฝ่าฝันมาตลอด ๓๖๕ วันของปีเก่า และจะก้าวล่วงเข้าไปสู่อีก ๓๖๕ วันของปีใหม่

ตราบใดที่ชีวิตยังต้องดิ้นรนอยู่ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งที่เราต้องปรารถนา และต้องแสวงหามาให้มากเข้าไว้ เพื่อที่เราจะได้อยู่ในโลกอย่างไม่หวั่นไหว แล้วขณะเดียวกัน ถ้าสามารถทำตัวให้เหนือโลกได้เท่าไร เราท่านทั้งหลายก็จะหลุดพ้นจากสมมติทั้งปวง เข้าสู่ความเป็นปรมัตถธรรมแท้ ที่ไม่มีใครสามารถจะลบล้างได้อีกเลย
.....................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com

ผู้แต่ง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

โดย : วัดท่าขนุน

ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

จำนวนเข้าดู : 81

ปรับปรุงล่าสุด : 29 เมษายน พ.ศ. 2567 17:13:09

ข้อมูลเมื่อ : 2 มกราคม พ.ศ. 2567 09:49:02

 
 
 
 

สาระธรรม 10 อันดับ

การสรงน้ำพระ

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 29-04-2567

เปิดดู : 10

พรปีใหม่ที่ดีที่สุด

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 01-01-2567

เปิดดู : 94

ภาวนาแล้วอยากรวย

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 29-12-2566

เปิดดู : 67

โอปนยิโก

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 22-12-2566

เปิดดู : 54