เข้าสู่ระบบสมาชิก
สถิติสารสนเทศ
วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรมหาวิหาร
1 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี วรวิหาร
2 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี สามัญ
9 วัด
วัดราษฎร์
1455 วัด
สำนักสงฆ์
83 วัด
ที่พักสงฆ์
72 วัด
วัดร้าง
2 วัด
วัดทั้งหมด
1624 วัด
 
ศาสนบุคคลไทย
พระภิกษุ
8362 รูป
สามเณร
302 รูป
แม่ชี
89 รูป
ศิษย์วัด
33 คน
บุคคลทั่วไปชาย
39 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
53 คน
ทั้งหมด
8878 รูป/คน
 
ศาสนบุคคลต่างชาติ
พระภิกษุ
40 รูป
สามเณร
25 รูป
แม่ชี
1 รูป
ศิษย์วัด
3 คน
บุคคลทั่วไปชาย
0 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
0 คน
ทั้งหมด
69 รูป/คน
 
สถิติสถานภาพพระภิกษุปัจจุบัน
พระบวชใหม่
7208 รูป
ลาสิกขา
35 รูป
มรณภาพ
10 รูป
 

สื่อมีเดีย

ความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

รายละเอียด

ความอัศจรรย์ของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์... 
     "นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน   คนที่เคยมีบุพกรรมร่วมกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
     เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา  หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม  นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์
     ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้ มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า...
ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)    ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง)    และไม่มีตัวตน (อนัตตา)   สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”
          กฎข้อนี้ในบางส่วน  นักจิตวิทยาก็ค้นพบ  เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง   พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่  ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด  ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น คลื่นโทรศัพท์  คลื่นวิทยุ  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  เป็นต้น
          ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ..
          1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
          2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน”  เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
          กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า  นามนั้นประกอบด้วย..ความรู้สึก (เวทนา),   ความจำ (สัญญา),   ความคิด (สังขาร),   การรับรู้ (วิญญาณ)
          ข้อดีของสัจธรรมก็คือ..เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
          เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนๆนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน
          หรือใครก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่  นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา
          “คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”  เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง
          เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี  นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น 
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรา..ยังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป
          และวิธีการสลัดตนให้ "หลุดพ้น" จากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น
          แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ  “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ    โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลง.."ไปในทางที่ดี"
          “ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง  ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง ปลูกต้นไม้ อะไรก็ว่าไป
          ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา
          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า..เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”
          ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก..  ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก..  “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...“การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”  (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕)
          ทาน .. บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี
          ศีล .. บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก
          สมาธิ .. บอกระดับความสุขสงบเย็น
          ปัญญา .. บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง
          “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”   ตามระดับคุณธรรม ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา.  
ความอัศจรรย์ของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์...
 
"นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน   คนที่เคยมีบุพกรรมร่วมกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา
หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม  นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์
ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้ มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า...
ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)    ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง)    และไม่มีตัวตน (อนัตตา)   สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”
          กฎข้อนี้ในบางส่วน  นักจิตวิทยาก็ค้นพบ  เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง   พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่  ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด  ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น คลื่นโทรศัพท์  คลื่นวิทยุ  คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  เป็นต้น
          ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ..
          1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
          2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน”  เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
          กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า  นามนั้นประกอบด้วย..ความรู้สึก (เวทนา),   ความจำ (สัญญา),   ความคิด (สังขาร),   การรับรู้ (วิญญาณ)
          ข้อดีของสัจธรรมก็คือ..เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
          เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนๆนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน
          หรือใครก็ตาม ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่  นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา
          “คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”  เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง
          เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี  นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น 
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรา..ยังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป
          และวิธีการสลัดตนให้ "หลุดพ้น" จากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น
          แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ  “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ    โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลง.."ไปในทางที่ดี"
          “ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง  ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง ปลูกต้นไม้ อะไรก็ว่าไป
          ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา
          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า..เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”
          ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก..  ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก..  “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...“การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”  (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕)
          ทาน .. บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี
          ศีล .. บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก
          สมาธิ .. บอกระดับความสุขสงบเย็น
          ปัญญา .. บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง
          “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”   ตามระดับคุณธรรม ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา.  

โดย : วัดจำปี

ที่อยู่ : ต.สนามคลี อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี

จำนวนเข้าดู : 382

ปรับปรุงล่าสุด : 12 มีนาคม พ.ศ. 2565 12:41:02

ข้อมูลเมื่อ : 12 มีนาคม พ.ศ. 2565 11:43:38

 
 
 
 

สื่อมีเดีย 10 อันดับ

งานฉลองตราตั้งพระอุปัชฌาย์

โดย วัดศีรษะเกษ

ข้อมูลเมื่อ : 07-05-2567

เปิดดู : 15

วันนี้วันพระ (๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 30-04-2567

เปิดดู : 45

วันนี้วันพระ (๒๓ เมษายน ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 23-04-2567

เปิดดู : 45

วันนี้วันพระ (๑๖ เมษายน ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 16-04-2567

เปิดดู : 72

ทำบุญวันสงกรานต์

โดย วัดดอนไก่ดี

ข้อมูลเมื่อ : 10-04-2567

เปิดดู : 18

วันนี้วันพระ (๘ เมษายน ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 08-04-2567

เปิดดู : 69

วันนี้วันพระ (๙ มีนาคม ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 09-03-2567

เปิดดู : 72

วันนี้วันพระ (๓ มีนาคม ๒๕๖๗)

โดย วัดบัวหวั่น

ข้อมูลเมื่อ : 03-03-2567

เปิดดู : 67