เข้าสู่ระบบสมาชิก 
สถิติสารสนเทศ 
สาระธรรม
การรักษากำลังใจเอาไว้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
รายละเอียด
การปฏิบัติธรรมคือการบำเพ็ญตบะ คำว่า ตบะ แปลชัด ๆ ว่าความร้อนที่แผดเผากิเลส เมื่อเราเริ่มภาวนา เท่ากับเราเริ่มสร้างความร้อนในการแผดเผากิเลส ถ้าร้อนมากพอกิเลสจะตาย กิเลสจึงดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ชวนให้เราไปห้องน้ำบ้าง ชวนให้เราขยับตัวหลุดจากการภาวนาบ้าง ชวนให้เราหลบไปเช็คไลน์ เช็คโทรศัพท์บ้าง กำลังของเราที่เริ่มจะพอในการเผากิเลสก็เลยโดนใช้ไปหมด..!
ลองสังเกตดูว่าอย่างตอนนี้ เราปฏิบัติธรรมไปถึงบ่ายสามโมง ถ้ารักษาอารมณ์ได้จริง ๆ ก็แค่สองชั่วโมงครึ่ง แล้วท่านก็ไปเขี่ยไลน์เสียหนึ่งชั่วโมง ไปส่องเฟซฯ อีกหนึ่งชั่วโมง ไปเม้าท์กระจายกับเพื่อนฝูงอีกหนึ่งชั่วโมง สรุปแล้วทำได้สองชั่วโมงครึ่ง แต่ใช้ไปสามชั่วโมง ถ้าเป็นชีวิตการทำงานก็ติดหนี้หัวโต..! เนื่องเพราะว่าทำเท่าไรก็ไม่พอใช้ กลายเป็นหนี้เป็นสินอยู่ตลอดเวลา
ทำอย่างไรที่เราภาวนาแล้วจะรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้ได้ ก็คือเมื่อเลิกจากการภาวนาแล้ว จะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำอะไรก็ตาม ให้มีสติ รักษาใจให้นิ่งไว้เท่ากับตอนที่เรานั่งภาวนา ใหม่ ๆ ก็จะได้แค่ ๑ - ๒ นาทีก็พังแล้ว..! แต่ถ้าพากเพียรพยายามก็จะได้นานขึ้น เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง
ยิ่งพากเพียรรักษา ระยะเวลาก็ยิ่งยาวนานขึ้น แต่ว่าในระหว่างนั้นบางคนอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ เหมือนกับเพิ่งจะตั้งไข่ก็หกล้มเสียแล้ว จึงต้องอดทนอดกลั้นต่อสู้ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ประมาณว่าถ้าทำไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย..! ถ้าอยู่ในลักษณะนี้เราก็จะรักษาอารมณ์ใจไว้ได้นาน เป็น ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง เป็นครึ่งวัน เป็น ๑ วัน เป็น ๒ วัน เป็น ๓ วัน เป็นอาทิตย์ เป็นครึ่งเดือน เป็น ๑ เดือน เป็น ๒ เดือน เป็น ๓ เดือน จนกระทั่งสามารถรักษาได้เป็นปี ๆ
แต่ยิ่งต้องระมัดระวังให้หนัก เพราะว่าโลกียสมาธิไม่ใช่สิ่งที่เรายึดถือได้ สภาพร่างกายไม่ดีก็พัง เจ็บไข้ได้ป่วยก็พัง หิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ ก็พัง จึงต้องเพียรพยายามทำใจของเราให้ได้ ด้วยการใช้ปัญญาเข้ามาช่วย ก็คือเห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างในโลกเป็นเช่นนี้ แม้กระทั่งสมาธิจิตก็ยังหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย..เจ้าอยากจะพังก็พังไปเถิด เราจะตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่เดี๋ยวนี้ เมื่อเจอในลักษณะแบบนี้เข้า กำลังใจของท่านก็จะเหมือนมีพื้นฐานรองรับ พังเท่าไรก็ไม่ตกต่ำไปกว่านี้ และฟื้นคืนมาเร็วมากเพราะเห็นว่าธรรมดาเป็นเช่นนั้นเอง
ดังนั้น..ทรงฌานได้ก็เอาเถิด ทรงฌานไม่ได้เราก็จะพยายามต่อไป มาถึงช่วงนี้จะเป็นกำลังใจที่นักปฏิบัติทุกคนปรารถนา เพราะว่าเป็นกำลังใจที่ประกอบไปด้วยอุเบกขารมณ์ คำว่า "อุเบกขา" ในที่นี้ก็คือตัว "ช่างมัน" ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างเถิด ขอให้ได้ทำก็พอแล้ว ถ้าอยู่ในลักษณะนี้เราก็จะมีความมั่นคงยิ่งขึ้น
ก็แค่ทำความเคารพในพระรัตนตรัยให้แน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล แล้วเพิ่มปัญญาเข้าไปตอนท้ายว่า ร่างกายนี้มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถ้าก้าวไปหาความตายเมื่อไร เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียว
ถ้าสามารถรักษากำลังใจลักษณะนี้ได้ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วที่พวกเราทั้งหลายทำมา ก็เท่ากับเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี เพราะว่าถึงเวลาก็ปล่อยให้รั่วไหลไปหมด เราต้องสะสมกำลัง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เพียงพอ จึงจะก้าวข้ามกองกิเลสไปได้ แต่เราปล่อยให้รั่วหมดทุกวัน รั่วออกทางตา รั่วออกทางหู รั่วออกทางจมูก รั่วออกทางลิ้น รั่วออกทางกาย รั่วออกทางใจ รั่วมันได้ทุกประตู..!
ตาอยากเห็นรูปอะไร..เราไปหาให้ดู กำลังที่เราทำได้ก็รั่วไหลไปแล้ว
หูอยากได้ยินเสียงอะไร..เราหาให้ฟัง กำลังที่ทำได้สร้างได้ก็รั่วไปแล้ว
จมูกอยากได้กลิ่นแบบไหน..เราไปหามาดม ก็กลายเป็นทาสกิเลส กำลังรั่วออกทางจมูก
ลิ้นอยากได้รสอะไร..เราหามาปรนเปรอ บางคนถึงขนาดถ้าหากว่าอาหารไม่มีคนชวนชิมจะไม่กินเลย ถ้าอย่างนั้นก็รั่วออกทางลิ้นมากเป็นพิเศษ
ร่างกายปรารถนาอะไร เย็น ร้อน อ่อน แข็ง..เราหาให้หมด ก็รั่วออกทางกายไปหมด
ใจฟุ้งซ่านครุ่นคิด..แทนที่จะหยุดเรากลับไม่หยุด ก็รั่วออกทางใจอีก
สรุปว่าเป็นคนขยันทำงานเช้ายันค่ำทุกวัน แต่ไม่เหลือเงินติดกระเป๋าเลย..! ในเมื่อกำลังรั่วหมด ต่อให้ปฏิบัติไปอีกกี่ชาติก็ก้าวล่วงกองกิเลสไม่ได้ เพราะว่าไม่แข็งแรงพอที่จะไปห้ำหั่นฟันทิ้งกิเลส มีแต่โดนกิเลสจูงจมูกตลอดไป..!
การรักษากำลังใจเอาไว้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ลุกแล้วทิ้งเลย แต่ลุกจากตรงนี้แล้วต้องรู้จักประคับประคองอารมณ์ไว้ ทำอะไรใจเราต้องนิ่งเท่ากับตอนนั่งเจริญพระกรรมฐาน ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่เปิดช่องให้กิเลสโจมตีเรา สภาพจิตจะมีความผ่องใสขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสภาพจิตผ่องใส ปัญญาก็เกิด รู้ว่าทำอะไรก่อให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น..เราก็เลิกทำ ทำอะไรสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้น..เราก็ทำให้มากเข้าไว้ ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ กรรมใหม่เราไม่สร้าง กรรมเก่าค่อย ๆ ขัดเกลาชดเชยกันไป โอกาสที่เราจะพ้นทุกข์พ้นกรรมถึงจะมีขึ้นได้
ก็ได้แต่หวังว่าทุกท่านเมื่อทราบแนวการปฏิบัติแล้ว จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับกิเลสอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่เดี๋ยวมันชวนว่าหิว เดี๋ยวมันชวนให้อยาก เดี๋ยวมันชวนให้ไปห้องน้ำห้องส้วม เราก็ตามมันไปทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ก็เอาดีได้ยาก เกิดมาทั้งทีต้องเอาดีให้ได้ ตายไปทั้งทีต้องฝากดีเอาไว้ อยู่ให้คนเขาเกรงใจ ไปให้คนเขาคิดถึง จึงไม่เสียชาติที่เกิดมา..!
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com
ผู้แต่ง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โดย : วัดท่าขนุน
ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
จำนวนเข้าดู : 28
ปรับปรุงล่าสุด : 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 21:39:10
ข้อมูลเมื่อ : 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 21:39:10
สาระธรรม 10 อันดับ
การส่งออกของจิตนั้นเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวง
โดย วัดท่าขนุน
ข้อมูลเมื่อ : 30-09-2568
เปิดดู : 73











