เข้าสู่ระบบสมาชิก
สถิติสารสนเทศ
วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรมหาวิหาร
1 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี วรวิหาร
2 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี สามัญ
9 วัด
วัดราษฎร์
1454 วัด
สำนักสงฆ์
83 วัด
ที่พักสงฆ์
72 วัด
วัดร้าง
2 วัด
วัดทั้งหมด
1623 วัด
 
ศาสนบุคคลไทย
พระภิกษุ
8290 รูป
สามเณร
290 รูป
แม่ชี
87 รูป
ศิษย์วัด
38 คน
บุคคลทั่วไปชาย
41 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
52 คน
ทั้งหมด
8798 รูป/คน
 
ศาสนบุคคลต่างชาติ
พระภิกษุ
46 รูป
สามเณร
25 รูป
แม่ชี
1 รูป
ศิษย์วัด
3 คน
บุคคลทั่วไปชาย
0 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
0 คน
ทั้งหมด
75 รูป/คน
 
สถิติสถานภาพพระภิกษุปัจจุบัน
พระบวชใหม่
7145 รูป
ลาสิกขา
42 รูป
มรณภาพ
10 รูป
 

สาระธรรม

สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร

รายละเอียด

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๔ ก.ค. ๒๕๖๖

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีข่าวที่น่าเสียใจของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็คือหลวงพ่อจอน (พระอธิการพรพจน์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดดงโคร่ง มรณภาพด้วยโรคมะเร็ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นท่านไปผ่าตัดและให้คีโม บอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว

กระผม/อาตมภาพก็ย้ำแล้วย้ำอีกกับญาติโยมหลายครั้งว่า เรื่องของมะเร็ง ถ้าหากว่าพูดกันตามแบบของเรา ไม่ใช่แบบของหมอ ก็คือ "มะเร็งนั้นมีตัว" ก็แปลว่าก้อนมะเร็งนั้นเป็นรัง เหมือนกับรังมดหรือว่ารังผึ้ง ถึงเวลาเราไปทำลายรังมดหรือว่ารังผึ้ง มดหรือผึ้งนั้นก็จะแตกฮือออกไป ก็แปลว่าถ้าไม่ได้ทำด้วยความระมัดระวัง จนสามารถกำจัดเชื้อได้หมดจริง ๆ โอกาสตายมีสูงมาก..! เพราะว่าเมื่อเชื้อแตกฮือออกไปทั่วตัว ก็กลายเป็นว่ามีการแพร่ระบาดหนักยิ่งขึ้น

เรื่องพวกนี้พูดไปแล้วหมอสมัยใหม่มักจะไม่เชื่อ เนื่องเพราะว่าหมอสมัยใหม่ไม่มีความเข้าใจ แม้กระทั่งเรื่องปกติ อย่างเช่นธาตุภายในร่างกายของเรา การเจ็บไข้ได้ป่วยคือธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง หมอสมัยใหม่ไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มา ก็จ่ายยาให้มาตามอาการ

ดังนั้น..หลายเรื่องที่ทางโบราณรักษาได้ แต่ว่าช้าหน่อย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วยาสมุนไพรให้ผลในการออกฤทธิ์ทีละน้อย เพื่อที่จะรักษาสภาพร่างกายของผู้ป่วยเอาไว้ ไม่ให้กลายเป็นจ่ายยาแรง อยู่ในลักษณะของ "ช้างสารชนกันแล้วหญ้าแพรกแหลกกระจาย" ก็ต้องค่อย ๆ กินยา เพิ่มฤทธิ์ยาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนฤทธิ์ยามากกว่าก็รักษาโรคนั้นหาย แต่ว่าคนยุคนี้ใจร้อน ใจเร็ว จึงรับเอายาฝรั่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีสารเคมีตกค้าง ก่อให้เกิดโรคภัยหรือว่าผลข้างเคียงได้ง่าย

ในเรื่องของโรคภัยพวกนี้คงไม่ต้องพูดถึง เนื่องเพราะว่าถ้าว่ากันตามตำราแพทย์จีน จะบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก ก็คือส่วนใหญ่เกิดจากเรากินดื่มเข้าไป ในเมื่อขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ รักษาสุขภาพไม่เป็น กลายเป็นกินล้น กินเกิน แต่ขาดสารอาหาร..! โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็ถามหาได้ง่าย โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ พวกโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีการติดเชื้อ อย่างเช่นว่า โรคอ้วน ความดัน ไขมัน เหล่านี้เป็นต้น

วัดท่าขนุนของเรามีพระไปอบรมพระคิลานุปัฏฐากหลายรูปด้วยกัน มีอะไรพอที่จะถวายคำแนะนำ หรือว่าช่วยดูแลเพื่อนพระภิกษุของเราก็ช่วย ๆ กันหน่อย โดยเฉพาะพระชราอายุมากที่มีอยู่หลายราย

อย่างที่กระผม/อาตมภาพได้ถามไปตอนกำลังฉันเช้าอยู่ว่า "ได้ข่าวพระมรณภาพแล้วคิดถึงตัวเองบ้างหรือไม่ ?" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะคิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้ง ๆ ที่ความตายอยู่ใกล้เราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายอีกเช่นกัน..!

ควรที่เราจะไม่ประมาท เร่งรัดกระทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงเวลา เราจะได้ไปให้ไกลที่สุด ก็คือไปสู่สุคติภูมิให้สูงที่สุด ถ้าสามารถพ้นตายพ้นเกิดไปได้ก็ถือว่าดีที่สุด ถ้าไม่ได้ ก็ให้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเรา เหลือระยะสั้นที่สุด

คราวนี้ด้วยความประมาท ขาดสติ ขาดปัญญา เราทั้งหลายก็มักจะเห็นว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว "คนอื่นตาย ไม่ใช่เราตาย" พอถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ขึ้นมาทีหนึ่งก็ได้สติทีหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาเร่งเกาะความดีเป็นการใหญ่ อยากจะบอกว่าไม่น่าจะทัน อยู่ในลักษณะที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า เกิดอันตรายขึ้นแล้วค่อยกอดบาทพระ พูดง่าย ๆ ก็คือความตายมาถึงแล้วค่อยนึกถึงความดี

แล้วที่สมควรด่ายิ่งกว่านั้นก็คือ พออาการเจ็บไข้ได้ป่วยดีขึ้นมาหน่อย ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ประมาท ขาดสติ ลืมไปแล้วว่าคราวที่ผ่านมาเราเกือบจะตาย แล้วทุกครั้งเราก็วนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็คือครั้งนี้เป็น ได้สติขึ้นมา พอหายก็ลืม คราวหน้าเป็นใหม่ ค่อยนึกถึงใหม่ จะว่าไปแล้วถ้าใครอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ต้องบอกว่าสมควรตาย..! ประมาทจนเกินไป ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร ?

พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "ประมาณ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ๗ ครั้งยังน้อยเกินไป ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็นึกเหมือนกับพวกท่าน ว่าการนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกนั้น "เว่อร์" เกินไป แต่พอทำไปถึงตรงจุดนั้นจริง ๆ แล้วถึงได้รู้ว่า สติ สมาธิ ปัญญา แค่หางอึ่งของเรา การระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ยังไม่ใช่ของยากเลย แล้วระดับพระพุทธเจ้าท่านทำไมถึงจะทำไม่ได้..!?

แต่ว่าการระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ต้องประกอบไปด้วย สติ สมาธิ และปัญญา อย่างพร้อมเพรียงกัน ถ้าเป็นภาษาสายวัดป่า เขาเรียกว่า "มัคคสมังคี" ก็คือทุกอย่างต้องรวมกันพอดีอย่างพร้อมเพรียง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะระลึกได้ตลอดรอดฝั่ง

ขาดสติไม่ต้องพูดถึง ขาดสติเมื่อไร ทุกอย่างก็พังหมด ดีไม่ดีก็เผลอไปทำความชั่วหนักเข้าไปอีก ขาดสมาธินี่เป็นตัวหลักเลย เพราะสมาธิช่วยให้สติมั่นคง ช่วยให้ปัญญาแหลมคม แต่ถ้าหากว่าขาดปัญญา ก็ไม่คิดที่จะระลึกถึง เพราะว่าประมาท ไม่ได้คิดว่าเราจะตายลงไปในเวลานี้

เรื่องของมรณานุสติ พระพุทธเจ้าจึงจัดให้สำหรับบุคคลที่เป็นพุทธิจริต มีความฉลาดเป็นเจ้าเรือน เพราะว่าถ้าเป็นบุคคลทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถที่จะระลึกได้ บุคคลที่เป็นพุทธิจริตนั้น เหมาะกับกรรมฐานประเภทมรณานุสติ กายคตานุสติ เหล่านี้เป็นต้น เพราะว่าต้องใช้ปัญญาประกอบไปด้วย อนุสติระดับอื่น ๆ มีสมาธิแค่เบื้องต้น ก็เพียงพอใช้งานแล้ว

แต่ถ้าสำหรับพุทธิจริต กรรมฐานเหล่านี้เป็นของยาก อย่างเช่นว่า มรณานุสติ กายคตานุสติ หรือว่าพรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องใช้ปัญญาประกอบอย่างมาก พรหมวิหาร ๔ เราต้องเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างไร ต้องใช้ปัญญาอย่างสูง อาหาเรปฏิกูลสัญญา ต้องมองไปถึงต้นกำเนิดว่าอาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก แล้วเกิดความรังเกียจ กินเพื่ออยู่เท่านั้น

ดังนั้น..ในเรื่องของการระลึกถึงความตาย แม้แต่พระอานนท์ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ระลึกประมาณวันละ ๗ ครั้ง พระพุทธเจ้ายังตรัสว่าน้อยเกินไป แล้วพวกเราได้ถามตัวเองหรือไม่ว่า ได้นึกถึงกี่ครั้งต่อวัน ? ไม่ใช่ได้ข่าวใครตายมาก็สักแต่ว่ารับรู้ ยังไม่ถึงตัวกูก็แล้วไป ถ้าลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายก็ดำเนินชีวิตแบบประมาทจนเกินไป ประมาณว่าเป็นบุคคลผู้เมามัว เมาในวัย เมาในความไม่มีโรค แล้วท้ายที่สุดก็เมาชีวิต ไม่เคยระลึกว่าตนเองจะต้องตาย..!

การดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ โอกาสรอดจากอบายภูมินั้นยากมาก ขนาดบุคคลที่บุญเก่าดีจริง ๆ ยังลงไปนับไม่ถ้วนแล้ว เพราะว่าถึงเวลาก็มีอกุศลกรรมอื่นมาตัดรอน

ดังนั้น..การที่เราได้ข่าวว่าหลวงพ่อจอนมรณภาพ ต้องคิดว่าตัวเราก็จะต้องเป็นเช่นนั้น

สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นเบื้องหน้า จักต้องถึงความตายเป็นแน่แท้ ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย แม้กระทั่งตัวเราก็เช่นกัน ไม่อาจที่จะล่วงพ้นความตายไปได้

ระลึกได้แล้วก็ไม่ใช่นึกถึงเฉย ๆ แต่เร่งปฏิบัติเพื่อสั่งสมความดี หนีความชั่ว ตั้งหน้าตั้งตาเอามรรคเอาผลกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ว่าทำด้วยความประมาท ถ้าลักษณะอย่างนั้น ตายแล้วลงอบายภูมิ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เราทำตัวเองแท้ ๆ เลย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
....................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com

ผู้แต่ง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

โดย : วัดท่าขนุน

ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

จำนวนเข้าดู : 37

ปรับปรุงล่าสุด : 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 21:36:20

ข้อมูลเมื่อ : 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 21:36:20

 
 
 
 

สาระธรรม 10 อันดับ

เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 22-11-2567

เปิดดู : 19

อาราธนาวัตถุมงคล

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 14-11-2567

เปิดดู : 43

สังขารุเปกขาญาณ

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 31-10-2567

เปิดดู : 50

ทำใจให้เหมือนบ่อน้ำลึก

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 25-10-2567

เปิดดู : 77

ช่วงนี้เป็นช่วงของกาลกฐิน

โดย วัดท่าขนุน

ข้อมูลเมื่อ : 18-10-2567

เปิดดู : 73