เข้าสู่ระบบสมาชิก
สถิติสารสนเทศ
วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรมหาวิหาร
1 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นเอก วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรมหาวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นโท วรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี ราชวรวิหาร
0 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี วรวิหาร
2 วัด
พระอารามหลวง ชั้นตรี สามัญ
9 วัด
วัดราษฎร์
1455 วัด
สำนักสงฆ์
83 วัด
ที่พักสงฆ์
72 วัด
วัดร้าง
2 วัด
วัดทั้งหมด
1624 วัด
 
ศาสนบุคคลไทย
พระภิกษุ
8348 รูป
สามเณร
302 รูป
แม่ชี
89 รูป
ศิษย์วัด
33 คน
บุคคลทั่วไปชาย
39 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
52 คน
ทั้งหมด
8863 รูป/คน
 
ศาสนบุคคลต่างชาติ
พระภิกษุ
40 รูป
สามเณร
25 รูป
แม่ชี
1 รูป
ศิษย์วัด
3 คน
บุคคลทั่วไปชาย
0 คน
บุคคลทั่วไปหญิง
0 คน
ทั้งหมด
69 รูป/คน
 
สถิติสถานภาพพระภิกษุปัจจุบัน
พระบวชใหม่
7196 รูป
ลาสิกขา
34 รูป
มรณภาพ
10 รูป
 

สาระธรรม

เราต้องรู้จักตัวเอง และเข้าใจสังคมด้วย

รายละเอียด

จากเมื่อสักครู่ที่บอกเรื่องทำวัตรค่ำว่า การสวดมนต์เราจะเอาแต่จังหวะของเราไม่ได้ ต้องเป็นจังหวะของส่วนรวม ไม่ใช่เราสบายใจที่จะสวดจังหวะนี้ แล้วก็ลากเพื่อนทั้งวัดให้สวดจังหวะนี้ไปด้วย

ถ้าหากว่ากล่าวกันอย่างถึงแก่นเลยก็คือ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ทำอะไรต้องดู "ทีม" ก็คือพรรคพวกเพื่อนฝูงด้วย ไม่ใช่เอาแต่ตัวรอดคนเดียว การทำงานทุกอย่าง ถ้าเราเอาตัวรอดคนเดียว ก็ได้คนเดียว คนเก่งมักจะเอาตัวรอดได้ แต่หาเพื่อนยาก แต่คนนิสัยดี ไม่เก่ง จะมีเพื่อนช่วยเหลือเยอะ แล้วท้ายที่สุดการทำงานจะยั่งยืนกว่าคนเก่ง เพราะว่ามีหลายคนหลายหัว ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ในเรื่องของคนนั้น พระพุทธเจ้าแยกออกไว้ชัดเจนที่สุด ว่าบุคคลมี ๔ ประเภท

อุคฆฏิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมก็บรรลุเลย คนเก่งประเภทสุดยอดแบบนี้ ในหน่วยงานถ้ามีถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์นี่ยุ่งฉิบหา..เลย..! เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนเก่งมักจะแบกมานะมาด้วย ภาษาฝรั่งเขาว่ามี "อีโก้" สูง ไม่ค่อยลงให้ใคร อเมริกาเคยทำโครงการไอน์สไตน์น้อย เอาเด็กที่มีไอคิว ๑๑๐ ขึ้นไปมาเรียนด้วยกัน โครงการล้มไม่เป็นท่าเลย เพราะว่าทุกคนเอาตัวกูของกูเป็นใหญ่ ท้ายสุดไปกับคนอื่นไม่ได้

บุคคลประเภทที่สองคือ วิปจิตัญญู ต้องอธิบายขยายความถึงจะเข้าใจ แล้วก็ทำงานนั้นได้ บุคคลประเภทนี้อยู่ในหน่วยงานมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วมีไม่เกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ รวม ๒ ประเภทนี่ก็ว่าไปแล้ว ๔๐ เปอร์เซ็นต์

บุคคลประเภทที่สามคือ เนยยะ ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชได้ทุกวัน งานเรื่องเดียวกัน ทำวันนี้ผ่านไป พรุ่งนี้ทำอย่างเดิมก็ต้องถามต้องบอกกันอีกแล้ว ประเภทนี้เยอะมาก น่าจะถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์

แล้วอีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์เป็นใคร ? พวกปทปรมะ พวกนี้เก่งเกินไป ไม่ใช่คนโง่ เก่งแล้วไม่ยอมรับความคิดคนอื่น เอาอะไรกรอกใส่หัวไม่ได้ทั้งนั้นแหละ กูไม่เอาด้วย เวลาทำงานกับคนอื่นก็ "มึงไร้ฝีมือ..กูไม่ทำด้วย" ไปทางด้านโน้นก็ "กูแนะนำอะไรมึงไม่ทำตาม..กูไม่ทำด้วย" สรุปก็คือเก่งอยู่คนเดียว คนประเภทนี้ถ้าหากว่ามีเยอะ หน่วยงานฉิบหา..หมด..!

ดังนั้น...เวลาที่พระเณรของเราทำงาน เราจะสังเกตว่า "คนเก่ง" หรือ "เก่งเกิน" นั้น ไม่ค่อยทำงานร่วมกับคนอื่นหรอก พวกนี้มีข้อแม้เยอะ แต่ว่าคนนิสัยดีทำงานร่วมกับใครก็ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ใครมาช่วยก็ยินดีแบ่งปันให้เขาช่วยงาน กูไม่ได้เก่งคนเดียว ร่วมมือกันได้ ถ้าไม่ช่วย กูก็ไปเรื่อย ๆ ถึงเหนื่อยก็ไม่หยุด เดี๋ยวงานก็เสร็จจนได้

บุคคลประเภทนี้เป็นที่ต้องการในทุกหน่วยงานและทุกสถานที่ ไม่ต้องเก่งมาก แค่อธิบายงานแล้วรู้และทำได้ก็พอ แต่นิสัยดี บอกให้ทำอะไรขยับก่อนเลย ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ช่าง แต่ว่าเต็มใจทำ

ขอย้อนกลับไปที่ว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การทำงานทุกอย่างต้องดู "ทีมเวิร์ค" เป็นสำคัญ แม้กระทั่งการสวดมนต์ไหว้พระ คุณก็ลองสังเกตดูสิว่า ถ้าเราไปกับคณะไม่ได้ เอาแค่ ยถาฯ สัพพีฯ ก็พอ ไปรอดไหมล่ะ ? ถ้าเราขึ้นเสียงต่ำ พวกรับเสียงสูง หรือถ้าหากว่าเราขึ้นเสียงสูงมา เขาดันรับเสียเป็น "อันเดอร์เบส" ไปเลย แบบนี้ก็ล่มไม่เป็นท่า ดูแค่นี้แหละ..ไม่ต้องมากหรอก

ดังนั้น...ตรงจุดนี้เราต้องเข้าใจและรู้จักตัวเองด้วย ปุคคลปโรปรัญญุตา การรู้จักตัวบุคคลทำให้สามารถบริหารงานได้ดี แต่ส่วนที่ควรรู้ที่สุดก็คือรู้จักตัวเอง รู้ขอบเขตข้อจำกัดของตัวเอง เราเป็นใคร ? ถนัดอะไร ? งานไหนไม่ถนัดก็ศึกษา เรียนรู้ สอบถามผู้ที่รู้ ค่อย ๆ เรียนไปทีละอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำมาก่อนก็หันหน้าหนีเลย ถ้าอย่างนั้นชาตินี้เราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม นอกจากสิ่งที่ถนัดและชำนาญมาแต่เดิม ซึ่งสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่พอกิน..!

สมัยนี้เขาต้องการเป็ด เป็ดที่เป็นงานหลายอย่าง แต่ไม่เก่งหรอก แต่อะไรก็ทำได้หมด ว่ายน้ำก็ได้ ดำน้ำก็ได้ บินก็ได้ บางทีทะลึ่งขันได้อีกต่างหาก ฟักไข่แบบไก่ก็ทำได้ โบราณเขาถึงได้บอกว่า

ซึ่งจะขัน........ขันได้ไม่เหมือนไก่
บินก็ได้..........แต่ไม่ทันพันธุ์ปักษา
ว่ายน้ำได้........ก็ไม่ทันเหล่าพันธุ์ปลา
เหมือนวิชา.......เรียนหลายสิ่งไม่จริงจัง

แต่สมัยนี้เขาต้องการคนแบบนี้ คนที่สามารถเข้ากับเพื่อนฝูงและกิจกรรมตรงหน้าได้ สำคัญที่สุดก็คือต้องลดมานะในตัวเองลง

มานะรวมสักกายทิฐิ "ตัวกู ของกู" เอาไว้ด้วย ก็เลยกลายเป็น "อีโก้" ที่บางคนแปลว่า "อัตตา" ถ้าลดมานะไม่ได้ก็ทำงานกับคนอื่นยากมาก แม้กระทั่งการเรียน ยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าอาจารย์เลย..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ที่มา : www.watthakhanun.com

ผู้แต่ง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.

โดย : วัดท่าขนุน

ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

จำนวนเข้าดู : 39

ปรับปรุงล่าสุด : 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 19:54:44

ข้อมูลเมื่อ : 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 19:54:44

 
 
 
 

สาระธรรม 10 อันดับ

"อยู่สบาย ตายก็เป็นสุข"

โดย วัดประตูสาร

ข้อมูลเมื่อ : 06-04-2567

เปิดดู : 35

ปล่อยวาง

โดย วัดสะแกราย

ข้อมูลเมื่อ : 09-03-2567

เปิดดู : 41

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

โดย วัดท่าทอง

ข้อมูลเมื่อ : 08-03-2567

เปิดดู : 50

ความสุขในโลก

โดย วัดสุวรรณตะไล

ข้อมูลเมื่อ : 07-03-2567

เปิดดู : 33

วันมาฆบูชา

โดย วัดอินทาราม

ข้อมูลเมื่อ : 24-02-2567

เปิดดู : 35